Search

Devs (สามารถดูได้ใน Disney+ Hotstar)

• ...

  • Share this:

Devs (สามารถดูได้ใน Disney+ Hotstar)

• ซีรีส์แนว Hard Sci-fi ไม่ได้มีมาบ่อย ๆ แค่เห็นชื่อ อเล็กซ์ การ์แลนด์ คนเขียนบทและกำกับ Ex Machina, Annihilation ก็ไว้ใจได้
• ทั้ง Ex Machina และ Devs มีจุดร่วมคล้ายกันคือการสวมบทเป็นพระเจ้าผ่านจักรกล เรื่องแรกต้องการพิสูจน์ความเป็นปัญญาประดิษฐ์ ส่วนเรื่องหลังพิสูจน์ว่าโลกดำรงอยู่ด้วยเหตุวิสัย (Determinism) เหตุของการกระทำถูกกำหนดด้วยผลที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
• แค่เปิด EP. แรกมาก็จูนติดทันที ซีรีส์เริ่มต้นด้วยการทดลองทำนายการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวจากระบบประสาท ซึ่งสามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เป็น 10 วินาที มีความแม่นยำเกือบจะ 100% แล้วถ้าเรามีควอนตัมคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีที่ประมวลผลได้ดีกว่านี้ มันก็น่าเชื่อว่าจะคาดเดามนุษย์ได้
• ต้องยอมรับว่าซีรีส์เนือยมาก แต่ละตอนเนื้อเรื่องเดินหน้าน้อยแต่มีความน่าติดตามสูง ถ้าตัดจริง ๆ เชื่อว่าสามารถเหลือความยาวพอเป็นหนังได้ อย่างช่วงแรกที่ดูรู้สึกว่ามันขายเนื้อเรื่องประมาณ 30% ส่วนที่เหลือโชว์งานออกแบบ โชว์งานกำกับภาพ ซึ่งก็เจ๋งดี
• คนออกแบบงานสร้างคือ Mark Digby ส่วนตกแต่งภายในก็ Michelle Day ทั้งคู่เคยร่วมงานกับการ์แลนด์มาทั้ง Ex Machina และ Annihilation คิดว่า Devs นี่คือยกไปอีกระดับเลย
• ส่วนตัวเป็นคนเชื่อใน Free Will แต่ซีรีส์ชักจูงจนเราเชื่อใน Determinism ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เผลอ ๆ จะไม่เชื่อใน Random Experiment อย่างเช่นการโยนเหรียญที่สามารถโต้แย้งได้ทั้งเรื่องแรงดีด, ความเร็วลม, มุมตกกระทบ, น้ำหนักของเหรียญ

-------------------------------------

'เซอร์เกย์' นักพัฒนาด้าน AI ได้รับคำชวนจาก 'ฟอเรสต์' (Nick Offerman) เจ้าของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ให้เข้าร่วมโครงการลับสุดยอดชื่อว่า Devs แต่ปรากฏว่าแค่เข้าทำงานวันแรกก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้ 'ลิลี่' (Sonoya Mizuno) แฟนสาวที่เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องออกตามหาตัวเขา ก่อนจะพบข่าวร้ายที่ทำให้เธอใจสลาย
.
สิ่งแรกที่ดึงดูดเราให้จูนติดกับเรื่องราวคือไอเดียที่อยู่เบื้องหลังของซีรีส์ Devs ไม่ได้อ้อมค้อมในการเปิดจุดยืนของฟอเรสต์ในฐานะเจ้าของบริษัทและการพัฒนาเทคโนโลยีจากควอนตัมคอมพิวเตอร์เพื่อพิสูจน์ว่าทุกสิ่งอย่างบนโลกเป็นเหตุวิสัย จักรวาลถูกกำหนดไว้แล้วจากผลของการกระทำก่อนหน้า คนเราไม่ได้มีเจตจำนงเสรีที่จะเลือกจงรักภักดีหรือหักหลังใคร ทุกคนใช้ชีวิตอยู่บนรางที่เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมภาพลวงตาว่าเราสามารถเลือกตัดสินใจได้ เราแค่ทำในสิ่งที่เชื่อมโยงต่อกันมาจากผลก่อนหน้านี้ คล้ายกับที่เซอร์เกย์สามารถทำนายการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แค่มีความซับซ้อนกว่ากันหลายเท่า
.
สิ่งต่อมาที่ดึงดูดเราเหลือเกินคือการออกแบบสถาปัตยกรรมอาคารแล็บ Devs จริง ๆ ถูกจริตตั้งแต่การเลือก The McHenry Library เป็นสถานที่ถ่ายทำออฟฟิศหลัก มันทำให้ดูเป็นบริษัทที่มีความลึกลับและล้ำสมัยในตัว เป็นอาคาร 3 ชั้นที่ผนังเป็นกระจกแนวสูงทั้งหมด ล้อมรอบด้วยป่าไม้สนยิ่งเสริมให้ทำเลมีเสน่ห์ชวนค้นหา แต่พอการออกแบบเพิ่มรูปปั้นเด็กสาวขนาดใหญ่ สูงพ้นแนวต้นส้นมันกลับทำให้สถานที่แห่งนี้มีความชวนรู้สึกอึดอัดจากรูปปั้นและงานเพ้นต์ตามผนัง มองไปทางไหนก็เจอแต่เด็กสาวอยู่รอบตัว แค่เพียงเพราะเจ้าของบริษัทต้องการดึงตัวตนของเด็กสาวที่ชอบงานปั้นและงานระบายสีออกมา
.
ส่วนอาคารแล็บ Devs คือไปสุดมาก ภายนอกเป็นคอนกรีตหนาทึบชวนให้นึกถึงโบสถ์หินที่ตั้งอยู่กลางป่าโล่ง ๆ แต่คนออกแบบเพิ่มความเท่ในตอนกลางวันด้วยแท่งเหล็กทอง ๆ เป็นเงาส่องสะท้อน ส่วนกลางคืนก็มีไฟเล็ก ๆ ตามแนวพื้นกับส่วนล่างผนังอาคารที่ดูแล้วโคตรคูล แล้วระหว่างทางเดินไปอาคารตอนกลางคืนเป็นป่าสนที่มีวงแหวนส่องสว่างรอบต้นสน โคตรล้ำโคตรไซไฟแบบมินิมอล ยิ่งพอเจอการออกแบบภายในคือปรบมือให้เลย ชอบการออกแบบห้องลูกบาศก์กลางสุญญากาศที่เชื่อมต่อด้วยลิฟต์แบบทำงานด้วยสนามแม่เหล็ก เรียบหรูเปิดโล่งดูล้ำ อลังการด้วยการตกแต่งภายในด้วยสีทองล้วน ๆ แล้วมันจงใจวางควอนตัมคอมพิวเตอร์ไว้เด่นหราแบบเสริมความไฮเทคเข้ากับงานออกแบบภายในมาก ๆ จนทั้งหมดของอาคารดูเป็นเนื้อเดียวกัน
.
***** เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน แต่ไม่เฉลยตอนจบ *****
จุดเริ่มต้นของ Devs น่าสนใจมาก ตั้งแต่เปิดเรื่องเราจะเห็นว่างานออกแบบช่างทำให้รู้สึกได้เลยว่าฟอเรสต์หมกมุ่นอยู่กับการเสียชีวิตของลูกสาว ทั้งชื่อบริษัท อมายา ที่เป็นชื่อลูกสาวตัวเอง, รูปปั้นขนาดใหญ่ชวนอึดอัด, ภาพอมายาเต็มกระจกอาคาร เพียงแต่ที่เราแปลกใจคือความหมกมุ่นขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องความต้องการย้อนเวลากลับไปหาลูกสาว แต่เป็นความต้องการจะพิสูจน์ว่าการตายของลูกสาวเป็นสิ่งที่จักรวาลกำหนดไว้แล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
.
อารมณ์เหมือนคนเรารู้สึกผิดแล้วเกิดสถานการณ์ what if... ขึ้นมาในใจ เช่น ฟอเรสต์มัวแต่ชวนภรรยาคุยโทรศัพท์ขณะขับรถจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าเกิดเขาตัดสินใจวางสายเร็วกว่านั้นสัก 30 วินาที อุบัติเหตุคงไม่เกิด แต่การที่เขาไม่มี free will คือไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีทางตัดสินใจด้วยตัวเองว่าต้องวางโทรศัพท์ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วเป็นเหตุวิสัยจากผลก่อนหน้า การสร้างจักรกลสุดล้ำที่สามารถย้อนเวลาไปดูภาพจำลองตั้งแต่ยุคหิน และเวลาไหนก็ได้ตามใจต้องการ จึงมีหน้าที่เพียงพิสูจน์ข้อสงสัยเพื่อปลดล็อคความรู้สึกผิดในใจเท่านั้นเอง (ฉากที่ทำทึ่งไปเลยคือพอพิสูจน์ได้ถึงพหุภพ/จักรวาลคู่ขนาน แทนที่ฟอเรสต์จะดีใจในความคืบหน้าทางวิทยาศาสตร์ กลับกลายเป็นว่าเขาโมโหที่ไปเพิ่มความเป็นไปได้ของมิติที่ไม่ใช่มิติที่เราดำรงอยู่)
.

***** เปิดเผยตอนจบ *****
ตลอดทั้งเรื่องเราจึงเห็นว่ามนุษย์ทุกคนกระทำตามสิ่งที่จักรกลทำนายไว้ล่วงหน้า มีเพียงแค่ฟอเรสต์และ 'เคธี่' (Alison Pill) มือขวาของเขาที่แหกกฎด้วยการดูอนาคต แต่สิ่งที่เราสงสัยมาตลอดก็ได้รับการคลี่คลาย สมมุติเรารู้อนาคตเรียบร้อย เราจะยังตัดสินใจตามภาพที่เห็นจริงเหรอ ส่วนตัวเข้าใจได้ถ้าซีรีส์จะชักจูงให้เราคล้อยตามทฤษฎี Determinism เพราะยังไม่รู้อนาคต เท่ากับไม่รู้การตัดสินใจ จึงเป็นการตัดสินใจตามผลก่อนหน้าที่ถูกจักรวาลกำหนดชะตากรรมไว้แล้ว
.
แต่สมมุติเราเห็นภาพอนาคตเรียบร้อย เราจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจจริงเหรอ พอมาเจอฉากที่ลิลี่ ซึ่งเห็นภาพจำลองอนาคตหมดแล้วตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เหมือนกับภาพจำลอง มันเลยกลายเป็นฉากที่ทำให้เรากลับมาเชื่อใน free will ของตัวเองอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเข้าใจสถานการณ์ของซีรีส์ว่า Determinism เกิดเพราะทุกคนไม่เคยเห็นภาพจำลองอนาคต แต่ถ้าเราเห็นอนาคตเราจะสามารถตัดสินใจได้ แปลว่าโลกนี้ไม่ได้มีพระเจ้ากำหนดทุกสิ่ง เพราะมนุษย์ทุกคนมีเจตจำนงเสรี ต่อให้การกระทำของเราตรงกับที่พระเจ้ากำหนดก็ใช่ว่าจะเป็นผลของการกระทำก่อนหน้า แต่อาจเป็นเพราะเรามีความรู้สึกนึกคิดของตัวเองในการตัดสินใจ
.
ในทางลึก ๆ แล้ว Devs ของการ์แลนด์ ก็ยังคงเป็นงานที่ท้าทายความเชื่อในการพิสูจน์เรื่องพระเจ้ามาก ๆ และเราก็ชอบที่การ์แลนด์บอกว่า ไม่ว่าเราจะรับรู้ถึงเจตจำนงเสรีหรือภาพลวงตา สุดท้ายทุกคนก็มีสิ่งที่ตัวเองห่วงใยอยู่ เมื่อได้ทางเลือกในการตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เราก็จะเลือกทำหรือเปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองแคร์ในท้ายที่สุด

Creator: Alex Garland (เขียนบท Ex Machina, Annihilation, Sunshine)

10 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 50 นาที)
A

#หนังโปรดxDisneyplusHotstar


Tags:

About author
ผมมีความฝันอยากเห็นคนไทยได้รู้จักหนังหลากหลายกว่าเดิม ผมจึงสร้างเพจ 'หนังโปรดของข้าพเจ้า' ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนอยากแนะนำหนังโปรดของตัวเอง โดยเคารพความแตกต่างของรสนิยมทุกคน เพราะหนังโปรดของเรา อาจไม่ใช่หนังโปรดของเขา ยินดีต้อนรับคนรักหนังทุกท่านนะครับ :)
"หนังโปรดของเรา อาจจะไม่ใช่หนังโปรดของเขา" ยินดีที่ได้แนะนำหนังผ่านการเขียนรีวิว
View all posts